พระราชรัตนมงคล,ดร. (มนตรี อภิมนฺติโก, ยางธิสาร) ผู้เริ่มโครงการพระสอนศีลธรรมขึ้นเป็นครั้งแรก
คำกล่าวเปิดโครงการฝึกอบรมพระสอนศีลธรรม
ณ โรงเรียนวิทยการจัดการเพชรเกษม
วันศุกร์ ที่ 24 กันยายน 2553
โดยพระธรรมโกศาจารย์
...............
ท่านพระเถรานุเถระ และมีท่านเจ้าคุณ พระราชรัตนมงคล
เป็นต้น เป็นประธาน
ท่านผู้อำนวยการวิทยาการจัดการเพชรเกษม
ดร.อรพรรณ สินประสงค์
พร้อมคณะผู้บริหาร
คณาจารย์แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
ขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง
ต่อการจัดกิจกรรมการอบรมครูพระสอนศีลธรรมในครั้งนี้ ซึ่งเป็นความดำริ
ริเริ่มของท่านเจ้าคุณพระราชรัตนมงคล มีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมครูพระสอนศีลธรรม
ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่สำคัญ เพราะว่าปัจจุบันนี้ เรามีพระสอนศีลธรรมในสถานศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุน
ทั้งมหา วิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
และมหาวิทยาลัยมกุฏราชวิทยาลัยมีจำนวนมากกว่า 24,000 รูป ทั่วประเทศ
ในจำนวนนี้มีความต้องการ การฝึกอบรมการพัฒนา เพราะเหตุที่ว่า
บทบาทของครูพระสอนศีลธรรมนั้น เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ที่ว่าสำคัญและจำเป็นเพราะว่า
การศึกษาในปัจจุบันต้องการที่จะสร้างให้เป็นทั้งคนดีและคนเก่ง วิชาที่จัดการศึกษารายวิชาต่างๆ
ในโรงเรียนทำให้เด็กเป็นคนเก่ง แต่ถ้าถามว่าวิชาไหนที่ทำให้เด็กเป็นคนดี
ดูแล้วก็จะมีไม่มากและในวิชาที่ทำให้เด็กเป็นคนดี
ก็คือวิชาพระพุทธศาสนา ทำอย่างไรที่จะทำให้การสอนวิชาพระพุทธศาสนา
สามารถทำให้เด็กเป็นคนดีสอนให้เด็กเป็นคนดี หลายปีมาแล้ว เคยประชุมร่วมกัน การทำหลักสูตร
น่าจะสักประมาณ 20 กว่าปีมาแล้วเนื่องจากหลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียน
กระทรวงศึกษาธิการกับฝ่ายเรานี้ก็
ตงลงกันไม่ได้ว่าจะสอนวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียนกี่คาบต่อสัปดาห์ เราก็เรียกร้องกันว่าประมาณว่า 2 คาบ เป็นอย่างน้อยและให้เป็นวิชาบังคับด้วย
เพราะวิชานี้เป็นเรื่องสำคัญ
ในสมัยโน้น ทางกระทรวงเขาก็ตอบดี เขาตอบมาว่า
พระคุณเจ้า ถ้าสอนให้เด็กเป็นคนดี ไม่ใช่สอนแต่วิชาการทางพระพุทธศาสนา
แต่ว่าฝึกอบรมให้เด็กเป็นคนดีมีศีลธรรมได้ จะสอนกี่คาบต่อสัปดาห์ก็คุ้ม
เพราะว่า ปัญหาของเขาไม่ได้อยู่ที่เด็กไม่ได้มีความรู้ แต่อยู่ที่ความประพฤติ
ถ้าแก้ไขพฤติกรรมของเด็กได้ ให้เด็กเป็นคนดีจะกี่คาบโรงเรียนก็ยอม แม้กระทั่ง ที่วิทยาการจัดการก็มีเหมือนกัน
มันไม่ได้อยู่ที่เราไปให้ความรู้ว่า อิทธิบาท 4 คืออะไร ปฏิจฺจสมุปบาท คืออะไร
แต่จะทำอย่างไรที่จะสร้างพฤติกรรมที่ดีงามให้เกิดขึ้นกับเด็ก
และโรงเรียนต้องการมาก โรงเรียนไหนถ้าสามารถสอนให้เป็น ให้เด็กเป็นคนดี ผู้ปกครองก็เบาใจ และเขาก็อยากจะเอาเด็กเข้ามาเรียน
เมื่อ 7 วันที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ
ได้ขอให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยประเมินโรงเรียนวิถีพุทธทั่วประเทศ
และก็เรียกว่า โรงเรียนคุณธรรมชั้นนำทั่วประเทศ กลั่นกรองคัดสรร จนเหลือ 100 โรงเรียน
และก็มอบประกาศนียบัตร ว่าเป็นโรงเรียนคุณธรรมชั้นนำ เป็นโรงเรียนต้นแบบ100 โรงเรียน
ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐานก็สนับสนุนตรงนี้
และก็มอบประกาศนียบัตรไปเรียบร้อย
โรงเรียนเหล่านี้มีชื่อเสียงในการสร้างเด็กให้เป็นคนดี
ผู้ปกครองต้องการโรงเรียนเหล่านี้ เพราะว่าเมื่อจบไปแล้วมีความเบาใจ แต่ว่า 100
โรงเรียนแค่เป็นโรงเรียนต้นแบบ
เขาอยากเห็นโรงเรียนทั่วประเทศเป็นอย่างนั้นและถามว่าใครจะมีส่วนในการพลักดันให้เป็นอย่างนั้น
ครูประจำการที่สอนวิชาพระพุทธศาสนาก็ยังไม่พร้อมที่จะพัฒนาโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนคุณธรรมชั้นนำ
ต้องอาศัยพระสงฆ์นี่แหละเข้าไปช่วยสอน
แล้วก็ช่วยพัฒนาโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนคุณธรรม หรือโรงเรียนวิธีพุทธก็ตาม
ซึ่งตรงนี้เอง มีคำถามว่า บทบาทของเรา กับครูประจำการที่สอนวิชาการ
เสริมกันอย่างไร ที่แน่ๆ ก็คือว่า แต่ละฝ่ายก็มีจุดที่จะต้องพัฒนา เรียกว่า
เสริมจุด จุดอ่อนของกันและกันให้มันแข็งขึ้น
ครูประจำการมีความรู้ในทางวิชาครูอย่างดี เทคนิควิธีการสอนก็ดี สื่ออุปกรณ์ก็รู้
แต่ไม่รู้ธรรมะ พวกเรานี่รู้ธรรมะเป็นอย่างดี ถ้าได้มีการฝึกอบรม ในวิชาการครู
ในจิตวิทยาพัฒนาการ การใช้สื่ออุปกรณ์ การประเมินผล การวางแผนการสอน เราก็จะเป็นครูพระที่สมบูรณ์
และลองคิดดูว่า เราจะอบรมพระดังกล่าวนี้ จำนวน 2 หมื่นกว่ารูป
ปัจจุบันยังไม่มีหลักสูตร ท่านเจ้าคุณครับ ยังไม่มีหลักสูตร
สำหรับการฝึกอบรม ที่มั่นใจได้ว่าจะให้พระของเรามีประสิทธิภาพอย่างที่ว่า
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในส่วนที่ผมรับผิดชอบเอง
ก็ยังไม่สามารถที่จะพัฒนาหลักสูตรให้ถึงขึ้นนั้น มีหลักสูตรเฉพาะกิจ
ประการที่
1
ประการที่ 2 งบประมาณในการฝึกอบรมก็น้อย
ทางรัฐบาลก็ตั้งมาเฉพาะแค่ค่าตอบแทน แต่ถ้าจะตระเวนอบรมกันทั่วประเทศ
ต้องมีงบประมาณเพิ่มขึ้น และถ้าจะให้มีงบประมาณเพิ่มขึ้นที่ว่า ก็ต้องมีหลักสูตรที่เป็นที่ยอมรับ
ซึ่งกระผม คิดว่า การดำริ ริเริ่ม ในการทำโครงการนี้จะนำไปสู่ผลที่พึงปรารถนา
ก็คือหลักสูตรที่สามารถใช้ในการฝึกอบรมได้ สำหรับพระ 2 หมื่นกว่ารูป
เพราะฉะนั้นการที่เรามีโครงการนี้ โดยการสนับสนุน ของทางวิทยาการจัดการก็ดี
ความร่วมมือของทุกฝ่าย อย่างที่ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนมงคลกล่าวก็ดี
และความร่วมมือของพวกเราทุกรูป ที่มาอยู่ ณ ที่นี้ก็ดี มันจะมีผลกระทบสัมพันธ์
ต่อการสอนวิชาศีลธรรม หรือวิชาพระพุทธศาสนา ในสถานศึกษา
และก็อย่างที่ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนมงคลได้กล่าวแล้วว่า เรื่องของการสอนศีลธรรมหรือสอนวิชาพระพุทธศาสนา
ในสถานศึกษา เริ่มมาในวัด เป็น 100 ปีแล้ว และที่จริงก็คือ
เริ่มที่มหามกุฏราชวิทยาลัย ที่วัดบวร โดยที่เราก็ทราบกันดีถึงพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่
5 ที่มีไปถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งในช่วง 100 ปี
ที่ผ่านมาแล้วนั้น มหามกุฏราชวิทยาลัย ที่วัดบวรนิเวศวิหาร พัฒนาก้าวหน้า
ทำให้การศึกษาของคณะสงฆ์ เป็นแบบอย่างของฝ่ายบ้านเมืองได้อย่างดี รัชกาลที่ 5
ก็ทรงมีพระราชหัตถเลขา ไปถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ว่า ”อย่าคิดแต่การข้างวัด” ประโยคนี้น่าคิดนะครับ
อย่าคิดแต่การข้างวัด ให้เอาใจใส่ในการสอนเด็กนักเรียนข้างนอก ก็คือคฤหัสถ์ด้วย
มหามกุฏราชวิทยาลัย ที่เป็นแบบฉบับ
เป็นความสำเร็จนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น ได้ทำเป็นอย่างดี
แต่อยากจะอาศัยพระบารมีพระองค์ท่าน มาจัดการศึกษาให้เด็กด้วยและให้พระไปช่วยสอน
เหตุผลที่ให้พระไปช่วยสอนเด็ก นอกจากการสอน กอ ขอ นะโม อ่านออกเขียนได้แล้ว
ต้องการให้เราสอนศีลธรรมอย่างที่เราทำนี่แหละ รัชกาลที่ 5 มีสายพระเนตรที่ยาวไกล
ในพระราชหัตถเลขา ทรงแสดงความห่วงใยว่า “ต่อไปภายหน้า ถ้าคนรู้หนังสือมากขึ้นแต่ไม่มีศีลธรรม ก็จะใช้ความรู้นั้น
เป็นไปเพื่อการโกง การเบียดเบียนกันมากขึ้น” เพราะฉะนั้น
ทรงเห็นความสำคัญว่า พระต้องรีบเข้าไปสอนศีลธรรมในโรงเรียน
และการที่สมเด็จพระสมณเจ้ากรมวชิญาณวโรรส สนใจ สนพระทัย ในการสอนพระด้วยกัน
น่าจะไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงใช้คำว่า “อย่าคิดแต่การข้างวัด”
ความตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 5 ซึ่งเราก็อ้างกัน และเราก็รู้กันดี
ผมก็ขอนำมาย้ำอีกทีหนึ่ง ก็คือว่า การสอนศาสนาในโรงเรียนที่เรากำลังทำนี้
การสอนศาสนาในโรงเรียนทั้งในกรุงและหัวเมือง
จะต้องให้มีขึ้น อันนี้เป็นพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 5 ว่า
มันจะต้องมีการสอนศาสนา คือวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียนที่รัชกาลที่
5 ได้ทรงกำหนดไว้ 100 ปีมาแล้ว
การสอนศาสนาในโรงเรียนทั้งในกรุงและหัวเมืองจะต้องให้มีขึ้น ให้มีความวิตกไปว่า “เด็กชั้นหลัง
จะห่างเหินจากการพระพุทธศาสนาจนเลยคนไม่มีธรรมะในใจมากขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น จะถือว่า เหมือนอย่างทุกวันนี้คนที่ไม่รู้อะไรก็มีมาก
ต่อไปภายหน้า ถ้าเป็นคนที่ได้เล่าเรียน คงจะประพฤติตัวดีกว่าคนที่ไม่ได้เล่าเรียนนั้น
หาถูกไม่ คนไม่ได้มีธรรมะเป็นเครื่องดำเนินตาม คงจะหันไปทางทุจริตโดยมาก
ถ้ารู้น้อย ก็จะโกงไม่ค่อยคล่อง ฤาโกงไม่สนิท ถ้ารู้มาก ก็โกงคล่องมากขึ้น และโกงพิสดารมากขึ้น” แหม
ยังกับทำนายถูกแป๊ะเลย ที่รัชกาลที่ 5 ห่วงมา 100 ปี
ว่าจะโกงได้คล่องและพิสดารมากขึ้น ยังกับตาเห็นเลยนะ
แล้วยังไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ในบ้านเมืองเราเรื่องโกงอะไรต่างๆ เฉพาะตัวอย่างเดียว ที่ทรงยกตัวอย่างว่า
ปัญหาในทางศีลธรรมมันจะเกิดขึ้น คนเรียนมากรู้มาก เก่งมากขึ้น
ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนดีมีศีลธรรมและข้อมูลที่ยืนยันว่า
ประเทศไทยนั้นมีการโกงมากขึ้น คืออะไร คือการจัดลำดับประเทศในโลกว่าประเทศไหนมีความโปร่งใสเท่าไหร่
โกงน้อยเท่าไหร่ เค้าเรียกว่า Transparency
ลำดับความโปร่งใสของประเทศ ในโลกนี้ 100 กว่าประเทศ ลำดับต้นๆ
แสดงว่าโกงน้อย หรือไม่โกงเลยอย่างประเทศสิงคโปร์
อยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก มีความโปงใส่ โกงน้อย ประเทศไทยก็อยู่ประมาณอันดับที่ 80
ห่างจากสิงคโปร์เท่าไหร่ สิงคโปร์นั้นถือว่าโปร่งใสอันดับหนึ่งของเอเชีย
ประเทศไทยยังไงก็ยังชนะเขมรอยู่ 80 ครับ
อันนี้เองเป็นความห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าทำอย่างไร อย่างน้อย
จะทำเมืองไทยใสสะอาด แล้วถ้าเราไม่ปลูกฝัง ไม้อ่อนดัดง่ายตั้งแต่เด็ก
โตขึ้นจะทำอะไร ตอนนี้ปัญหาบ้านเมืองมันคงจะต้องปลูกฝังกันตั้งแต่อยู่ในโรงเรียน
มิฉะนั้นเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับบ้านเมืองนี้
ใครที่ไปต่างประเทศ แถวญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ใกล้ๆ
บ้านเรา อาคารที่สร้างนี้ ถ้าสูงขนาดนี้จะแพงกว่านี้
5 เท่า ถึง 10 เท่า ถ้าไป พวกเราลองสังเกตดู แพงกว่านี้ 5 เท่าถึง 10 เท่า
เพราะอะไร เพราะภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว เวลาออกแบบสร้างอาคาร โบสถ์ วิหาร
และก็อาคาร อย่างโรงแรม เสานี้ เสาสองสามคนโอบ ถ้าสูงขนาดนี้ เสาใหญ่มาก
ต้องกันแรงสะเทือนได้เวลาแผ่นดินไหว เพราะฉะนั้น
การคิดสร้างอาคารให้แข็งแรงต้องเผื่อภัยธรรมชาติ สร้างแบบนี้ไม่ได้หรอก แต่ประเทศไทยสร้างได้
อาคารสถานที่แบบนี้ตรงตามมาตรฐาน เพราะเราโชคดีตรงที่เราไม่อยู่ในเขต แปซิกฟิกริง
คือวงแหวนภูเขาไฟ รอบมหาสมุทรแปซิกฟิก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเชียมีภูเขาไฟใต้ดินทั้งนั้น
แผ่นดินไหวเรื่อย ประเทศไทยโชคดี ภัยธรรมชาติไม่มี
สร้างอะไรก็ไม่แพงแต่ไม่รู้เป็นยังไง ถนนทรุดอยู่เรื่อย อาคารก็พังเองอยู่เรื่อย
ทั้งๆ ที่ไม่มีแผ่นดินไหว สร้างไม่ได้มาตรฐาน ถ้าถามว่า เพราะอะไร ก็เหมือนกับ
รัชกาลที่ 5 ท่านทรงห่วงใย รู้มากก็โกงได้คล่องและพิสดารมากขึ้น
เพราะฉะนั้น รัชกาลที่ 5 ก็ทรงขอให้คณะสงฆ์
เข้าไปสอนวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียน เพื่อป้องกันปัญหาที่ว่ามา
แต่จะด้วยอะไรก็ตาม พระได้หายไปจากโรงเรียนเกือบ 100 ปีหมายถึงว่า
ทางราชการไม่มานิมนต์ กว่าจะมานิมนต์อย่างเป็นทางการก็เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
หมายความว่ากระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดอัตราสำหรับนิมนต์พระสงฆ์ 20,000 กว่ารูปอย่างเป็นทางการ
เพราะฉะนั้นมันก็เหมือนกับว่า ตอนนี้สิ่งที่พวกเรากำลังทำ
ไปสนองพระราชปฏิภาณรัชกาลที่ 5 แล้วเท่ากับดำเนินนโยบาย
ของคณะสงฆ์ที่เริ่มจากวัดบวรนิเวศวิหารของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น
แล้วก็สิ่งที่ถ้าทายพวกเราก็คือว่า เราไปทำอะไร เวลาเข้าไปในโรงเรียน แน่นอนที่สุด
ข้อที่ 1 คือสอนวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียน
ท่านจะต้องรู้หลักสูตร รายวิชานี้ว่าคืออะไร
และวางแผนการสอนเป็นอย่างดี
ข้อที่ 2 สอนอย่างเดียวไม่พอ
ท่านต้องฝึกอบรมคุณธรรมจริยธรรม หรือศีลธรรมให้เด็กเป็นคนดีมีศีลธรรม
อย่างที่ได้เรียนมาแต่ต้น ถ้าสอนให้เด็กเป็นคนดีได้ จะเอากี่คาบเขาก็ยอม แต่ละโรงเรียนประสงค์อย่างนั้น
ข้อที่ 3 ขอให้ไปช่วยสอน
หรือติวเด็กเตรียมสอบธรรมศึกษา เราอยากจะเห็นเด็กในอนาคตมีความรู้พื้นฐาน
อย่างน้อยธรรมศึกษาเอก
ในศรีลังกา เด็กที่จบมัธยมปลายทุกคนจบธรรมศึกษาด้วย
จบธรรมศึกษาแล้วยังไม่พอ ใครจะสอนวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียน ถ้าเป็นครูประจำการ
นอกจากจบธรรมศึกษาแล้ว ตอนเรียนในมหาวิทยาลัย
ต้องไปสอบธรรมมาจริยะด้วย ใน 4 ปี เขามีการสอบธรรมมาจริยะ การเป็นอาจารย์สอนวิชาพระพุทธศาสนา
แล้วเมื่อได้ธรรมมาจริยะแล้ว จึงสอนวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียน มันคือลายเส้น
แสดงว่าเขาต้องเรียนวิชาธรรมศึกษา 3 ปี จบแล้วไปเรียนวิชาครูพระพุทธศาสนา
เรียกว่าธรรมมาจริยะ ตรงนี้เขาทำได้ดี ปีหนึ่งมีสอบธรรมศึกษา ประมาณ 3 ล้านคน
จากพลเมืองแค่ 20 ล้าน ทุกปี พระจัดทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นก็อยากจะเห็นบทบาทของพวกเราในด้านนี้เหมือนกัน
และข้อที่ 4 ท่านอยากจะเห็นพวกเราไปส่งเสริมโรงเรียนคุณธรรมชั้นนำทั้งหลายโดยเฉพาะที่เรียกกันว่า
โรงเรียนวิถีพุทธ ซึ่งเริ่มในสมัยรัฐมนตรีช่วยสิริกร มณีรินทร์ ท่านสิริกร มีการพลักดันตรงนี้
แล้วทำให้การตื่นตัว การสอนวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียน แต่ก็เริ่มกันมาเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นจึงถือว่า ถ้าพวกเราประสบความสำเร็จ
ในการสอนวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียน
หมายถึงครูพระ ก็จะเป็นคุณูประการแก่บ้านเมืองอย่างยิ่ง
นอกจะทำให้คนเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนาแล้ว
ก็จะดึงให้เด็กนั้นเข้ามาสู่ทางแห่งศีลธรรมไม่ต้องมีปัญหาบ้านเมืองอย่างที่รัชกาลที่
5 ได้เคยปรารภเอาไว้ และที่สำคัญคือว่า ถ้าพวกเราล้มเหลว เข้าไปสอนแล้ว
ประเมินแล้ว ปรากฏว่าไม่ได้ผล เด็กก็ไม่ได้ดีขึ้น
แล้วเรียนวิชาพระพุทธศาสนาก็เบื่อ เพราะไม่มีการสอนที่ดี กระผมก็ห่วงว่า วันหนึ่ง
ครูพระก็ต้องออกจากโรงเรียน เหมือนที่เขาเคยนิมนต์ออกมาที่แล้วและเมื่อนิมนต์ออกมาครั้งแล้ว
เสียเวลาอีก 100 ปี กว่าจะได้กลับไปในสมัยนี้ และถ้าสมัยนี้ล้มเหลว อีก 300 ปี
ก็ไม่ได้กลับเข้าไปอีก
เพราะฉะนั้นในยุคเรา อย่าให้รุ่นหลังตราหน้าว่า
เพราะรุ่นพี่ทำไม่ดี เราจึงต้องโดน
เขานิมนต์ออกจากโรงเรียนและไม่ได้สอนวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียนอีกเลย ตั้งแต่สมัย
รุ่นเรานี่แหละ
เหมือนกับพวกเรานึกค่อนคอดในใจว่า ท่านสมัยก่อนสอนอีกท่าไหน ครูประจำการยึดไปหมด
แล้วไม่นิมนต์พระไปสอนอย่างเป็นทางการอีกเลย แม้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
จัดตั้งโรงเรียนในวัด ให้กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สนับสนุนทั่วประเทศ ในหัวเมือง พอถึงรัชกาลที่
6 เขานิมนต์ออกจากโรงเรียนหมดเลย ในสมัยรัชกาลที่ 9 กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
สอนให้ดีนะครับ อย่าให้เขากระซับพื้นที่
หรือยึดพื้นที่คืน ในรุ่นเรา และจัดตรงนี้สำเร็จ เราไปยึดพื้นที่คืนดีกว่า ก็โดยที่มีการเตรียมการอย่างดี
ภาษิตฝรั่ง เขาบอกว่า “A Job a well
we done is a job half done” การเริ่มต้นที่ดี
เท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง เริ่มต้นที่ดี ก็คือ
อย่าเข้าไปสอนโรงเรียนโดยการไม่มีการเตรียมการเป็นเด็ดขาด
ในส่วนตัวท่านทั้งหลายก็คงทราบ ไม่เตรียมการสอนไม่เตรียมศึกษาเด็ก
ไม่เตรียมอะไรเลย ทำให้เด็กเบื่อวิชาพระพุทธศาสนา ในที่สุด ถ้าทำกันอย่างนี้มากๆ
วิชาพระพุทธศาสนาก็จะหมดไปจากโรงเรียน ผมมักจะใช้คำที่แรงนะครับ “ใครที่สอนโดยไม่มีการเตรียมการ ไม่ว่าจะขึ้นธรรมาสน์เทศน์ ไม่ว่าจะสอนในโรงเรียน
โดยไม่มีการเตรียมการ เป็นอนันตริยกรรมอย่างหนึ่งต่อพระพุทธศาสนา เพราะทำให้คนเบื่อพระพุทธศาสนา
แล้วจะทำให้พระพุทธศาสนาของเราหมดพลานุภาพ”
ฉะนั้น ผมจึงหวังว่า โครงการที่เราทำกันในวันนี้
จะเป็นการจุดประกายให้มีการเตรียมการเตรียมตัว ฝึกอบรมกันมากขึ้น
และโครงการนี้จึงจะมีประโยชน์ไพศาล ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งปวง
จึงชื่อว่าได้ทำงานที่ยิ่งใหญ่ เริ่มตั้งแต่ ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนมงคล
ท่านดร.อรพรรณ สินประสงค์ และวิทยาการจัดการ
ที่ให้การสนับสนุนให้ความร่วมมือ วิทยากรทั้งหลาย
และทุกฝ่ายทุกท่านถือว่าเป็นกุศลกรรมที่น่าอนุโมทนา จึงขออนุโมทนาทุกรูป ทุกท่าน
ที่มาร่วมกันในครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ไพศาลต่อไป จึงขอถือโอกาสนี้
เปิดการประชุมฝึกอบรมสัมมนาในครั้งนี้
และขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงมารวม
และกุศลความดีที่บำเพ็ญกุศลเพื่อการสอนศีลธรรมในโรงเรียน ด้วยการสอนเองก็ดี
ด้วยการอุปถัมภ์บำรุงสนับสนุนก็ตาม จงมารวมกันเป็นตบะ เป็นเดชะ เป็นพะละวะปัจจัย
อำนวยอวยพรให้ โครงการนี้ประสบความสำเร็จ สมกับที่ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ทุกประการ
ขอทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจัดโครงการนี้ เจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้นไป
ในร่มธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสบจตุรพิธพรชัย คืออายุ วรรณะ สุขะ
พละ มีปฏิภาณธรรมสารสมบัติ ปรารถนาสิ่งใดที่ชอบประกอบด้วยธรรม
ก็ขอให้ความปรารถนาเหล่านั้น จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ
สมมโนรสมุ่งมาดปรารถนาทุกประการตลอดกาลนานเทอญฯ
และขออำนาจคุณ
..............................................
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น